วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

เขาพระวิหาร

?สรุปคำตัดสินศาลโลก 11พ.ย.56?

เขาพระวิหาร

มติเอกฉันท์ “ศาลโลก” พิพากษาไทยแพ้คดีพระวิหาร รับมีอำนาจวินิจฉัยคำพิพากษาปี 2505
วันอังคาร 12 พฤศจิกายน 2556 เวลา 09:46 น.
มติเอกฉันท์ “ศาลโลก” พิพากษาไทยแพ้คดีพระวิหาร รับมีอำนาจวินิจฉัยคำพิพากษาปี 2505 ชี้พื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทอยู่ในเขตอธิปไตยกัมพูชาเช่นเดียวกับตัวปราสาทฯ สั่งไทยถอนกำลังทหาร-ตำรวจ ออกจากพื้นที่พิพาท เตือน ประเด็นพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ให้ 2 ประเทศร่วมประชุมหารือจัดการพื้นที่ร่วมกันหลังขึ้นเป็นมรดกโลก ท่ามกลาง “ยูเนสโก” เข้ามาควบคุมดูแล ด้าน “ทูตวีรชัย” เผยกัมพูชา ไม่ได้รับพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ตามคำขอในสำนวน ได้เพียงพื้นที่แคบ ๆ รอบปราสาทและศาลไม่ได้ชี้ขาดเรื่องเส้นเขตแดน ด้านนายกฯฮุนเซน ได้ทีไล่บี้ไทยถอนกำลังทหาร ขณะที่นายกฯปู จัดทีมเจรจา ยืนยันปกป้องอธิปไตยเต็มที่
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 11 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่น ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ องค์คณะผู้พิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งประกอบด้วยองค์คณะผู้พิพากษาจำนวน 17 คน ได้อ่านคำพิพากษา กรณีกัมพูชายื่นขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 โดยมีคณะของกัมพูชา และคณะฝ่ายไทยนำโดย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม นายวีรชัย พลาศรัย ในฐานะตัวแทนไทยดำเนินการทางกฎหมายปราสาทพระวิหาร พร้อมทีมงานเข้าร่วมรับฟัง
นายปีเตอร์ ทอมกา ประธานศาลโลก กล่าวความเป็นมาของคำตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร ระบุว่า กัมพูชาได้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2011 อ้างถึงมาตรา 60 และ 98 ของธรรมนูญศาล และ ร้องขอให้ศาลตีความปราสาทพระวิหาร วันเดียวกันกัมพูชาอ้างมาตรา 96 และ 73 ของศาล ขอให้มีมาตรการชั่วคราวเพราะมีการล่วงล้ำของประเทศไทยเข้าสู่ดินแดนกัมพูชา ต่อมาศาลมีมาตรการชั่วคราวให้แก่ทั้งสองฝ่ายในปี 2011
โดยจะขอเริ่มต้นอ่านคำพิพาษาในวรรคที่ 14 ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในเงื้อมผาเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นพรมแดนสองประเทศคือ กัมพูชาตอนใต้ และไทยตอนเหนือ ในเดือน ก.พ. 1904 กัมพูชาอยู่ใต้อารักขาของรัฐฝรั่งเศส ที่เทือกเขาพนมดงรักเป็นไปตามสันปันน้ำ ซึ่งเป็นไปตามการประกาศของคณะกรรมการเตรียมการ เรื่องงานที่เสร็จสิ้นคือ การเตรียมการและตีพิมพ์เผยแพร่แผนที่ที่ได้รับ ซึ่งภารกิจนั้นมอบให้เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส 4 นาย ต่อมาในปี 1907 ทีมก็ได้เตรียมแผนที่ 17 ระหว่าง อินโดจีนกับไทย และมีแผนที่ขึ้นมา มีคณะกรรมการปักปันระหว่างอินโดจีนกับสยาม ทำให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา หลังจากที่กัมพูชาประกาศอิสรภาพ ปี 1953 ต่อมาประเทศไทยได้ยึดครองปราสาทในปี 1954 แต่การเจรจาไม่เป็นผล ปี 1959 กัมพูชาร้องต่อศาล และไทยก็คัดค้านตามมา และศาลปฏิเสธการรับฟังของไทย และมีคำพิพาทเกิดขึ้นจริง ซึ่งเทือกเขาดงรักที่เรียกว่า แผนที่ภาคผนวก 1 นั้น อยู่ในกัมพูชา โดยมีผลบังคับระหว่างรัฐประเทศตามที่กัมพูชากล่าวอ้าง แต่ในแง่การมีผลผูกพันเหตุการณ์ระหว่างสองประเทศต้องยืนยันตามสันปันน้ำ
ศาลพูดถึงข้อปฏิบัติการในคำพิพากษา ตัดสินว่า พระวิหารอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา และไทยมีผลผูกพัน หรือในบริเวณข้างเคียง และมีพันธกรณีที่ต้องนำวัตถุทั้งหลายที่ได้นำออกไปให้นำส่งคืน หลังจากมีคำพิพากษา 1962 ไทยก็ได้ถอนกำลังออกจากพระวิหาร และมีการทำรั้วลวดหนาม หลังจากที่เป็นไปตามมติครม.ของไทยในวันที่ 11 ก.ค. 1962 แต่ไม่มีการตีพิมพ์เผยแพร่
ทั้งนี้ ศาลระบุว่า กัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาหลังจากที่คำพิพากษา เป็นต้นมา ในมุมมองของไทยคือ ได้ออกจากบริเวณปราสาทและไทยได้กำหนดฝ่ายเดียวว่า เขตพระวิหารอยู่ที่ใดซึ่งตามคำพิพากษาในปี 1962 ได้กำหนดตำแหน่งเขตปราสาท ที่ไทยต้องถอนและได้จัดทำรั้วลวดหนาม ปราสาทไม่ได้เกินไปกว่าเส้นกำหนดตามกัมพูชาประท้วงว่า ไทยถอนกำลังออกไปนั้นก็ได้ยอมรับว่า ปราสาทเป็นของกัมพูชาจริง แต่กัมพูชาได้ร้องว่า ไทยสร้างรั้วรุกไปในดินแดนกัมพูชาซึ่งไม่เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลและในมุมมองของกัมพูชาต้องการเสนอยูเนสโก แสดงให้เห็นว่า ทั้งสองมีข้อพิพาทในความหมายและขอบเขตในคำพิพากษาปี 1962 จริง
ศาลได้ดูสาระข้อพิพาทเพื่อให้แน่ใจว่า เป็นไปตามขอบเขตอำนาจศาล ม.60 ตามธรรมนูญศาลหรือไม่และเห็นว่าสองฝ่ายขัดแย้งกัน ซึ่งในข้อพิพาท 1962 ที่บอกว่า คำพิพากษามีผลบังคับใช้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนสองประเทศ การพิจารณาครั้งนี้ศาลพิจารณาในจุดยืนของฝ่ายที่แสดงออกมาคือ ตามคำขอของกัมพูชา คือ มีสถานที่และได้ต่อสู้เพื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลกก็มีมุมมองต่างกันของขอบเขตและบริเวณดินแดน
โดยข้อที่ 1 ศาลเข้าใจว่า ปราสาทอยู่ในดินแดนกัมพูชา ท้ายที่สุดศาลก็ได้ดูเรื่องปัญหาที่สองฝ่ายเห็นต่างคือ พันธกรณีการถอนกำลังออกจากปราสาท ในดินแดนของกัมพูชา และให้ข้อพิพากษาเรื่องการสื่อสารการเข้าใจของสองประเทศในการนำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลกและการปะทะแสดงว่า มีความเข้าใจที่แตกต่างกันจริง คำพิพากษามีความสำคัญ 3 แง่ คือ คำพิพากษาไม่ได้ตัดสินว่า มีข้อผูกพันเป็นเขตแดนระหว่างสองประเทศหรือไม่ 2.มีความสัมพันธ์กรณีความหมายและขอบเขตของวลีที่ว่า บริเวณใดเป็นของกัมพูชา และ 3.มีข้อพิพาทในกรณีให้ไทยถอนกำลัง คือ เป็นไปตามข้อปฏิบัติข้อที่สอง
เมื่อกัมพูชาได้ร้องขอ ศาลจึงรับคำร้องขอของกัมพูชา ศาลเห็นว่ามีข้อพิพาทของทั้งสองฝ่าย ตามข้อ 60 ของธรรมนูญศาล ด้วยเหตุนี้ศาลจึงมีอำนาจรับไว้พิจารณา ศาลจึงคำนึงถึงข้อ 60 ทำให้ขอบเขตมีความชัดเจนขึ้น ด้วยเหตุนี้ศาลจึงต้องดูอยู่ภายใต้ขอบเขตเคร่งครัด ไม่สามารถหยิบเรื่องที่ได้ข้อยุติไปแล้ว ดังนั้น การพิจารณาขอบเขตและความหมายจึงยึดถือข้อปฏิบัติที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยได้ต่อสู้ว่า หลักการกฎหมาย ห้ามไม่ให้ศาลตีความเกินการตีความในปี 1962 และได้ถูกกล่าวย้ำในข้อต่อสู้ของคู่ความ อย่างไรก็ตาม ศาลไม่สามารถตีความที่ขัดแย้งกับคำพิพากษาในปี 1962 ได้ และกัมพูชาเห็นว่า ข้อสรุปในปี 1962 ทำให้เห็นว่า ศาลได้วินิจฉัยประเด็นต่าง ๆ ตามข้อวินิจฉัยในปี 1962 และขณะนั้นได้ใช้ข้อ 74 เป็นข้อบังคับในขณะนั้น ซึ่งไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษา และบทสรุปเป็นเพียงบทสรุปของคำวินิจฉัย ไม่ถือเป็นปัจจัยที่มีผล กระทบต่อหลักปฏิบัติ
ประเทศไทยยังได้กล่าวอ้างถึงพฤติกรรมของปี 1962 และเดือน ธ.ค. 2008 ที่มีเหตุการณ์ปะทุขึ้นมา คำพิพากษาไม่ถือว่า เป็นสนธิสัญญา หรือตราสารที่ผูกพันคู่ความ การตีความที่อาจจะมีผลกระทบกับพฤติกรรมต่อ ๆ ไป ดูได้จากสนธิสัญญา ณ กรุงเวียนนา การตีความจะดูว่าศาลได้พิพากษาอะไร ขอบเขตและความหมายไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงไปของพฤติกรรมของคู่ความ และการตีความศาลจะไม่พิจารณาในประเด็นนั้น มีลักษณะ 3 ประการในคำพิพากษา 1962
1. พิจารณาว่า เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของที่ตั้งปราสาทพระวิหาร และศาลไม่มีหน้าที่ปักปันเขตแดน ศาลจึงกลับไปดูคำพิพากษา 1962 โดยดูในคำคัดค้าน ว่า เป็นเขตอำนาจอธิปไตยมากกว่าเขตแดน ดังนั้น ข้อเรียกร้อง 1-2 ของกัมพูชาในภาคผนวก 1 ศาลจะรับเท่าที่เป็นเหตุ โดยไม่มีการกล่าวถึงภาคผนวก 1 หรือสถานที่ของเขตแดน ไม่มีการแนบแผนที่ในคำพิพากษา ประเด็นต่าง ๆ ที่คู่ความได้กล่าวอ้างก็มีความสำคัญในการกำหนดเขตแดน
2.แผนที่ภาคผนวก 1 ประเด็นที่แท้จริงคือ คู่ความได้รับรองแผนที่ภาคผนวก 1 และเส้นแบ่งเขตแดน ที่เป็นผลจากคณะกรรมการปักปันเขตแดน และมีผลผูกพันหรือไม่ ศาลได้ดูพฤติกรรมของคู่ความในการเสด็จของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ไปเยี่ยมชมปราสาทพระวิหารก็เหมือนการยอมรับโดยอ้อมของสยามในอธิปไตย ถือเป็นการยืนยันของประเทศไทยในเส้นแบ่งแดนภาคผนวก 1 ในปี 1908 และ 1909 ยอมรับในแผนที่ และยอมรับว่า เส้นแบ่งเขตแดนเป็นเส้นแบ่งเขตแดนที่นำไปสู่การยอมรับว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ในกัมพูชา ทำให้แผนที่ภาคผนวกอยู่ในสนธิสัญญา จึงเห็นว่าการตีความสนธิสัญญาจึงต้องชี้ขาดว่า เขตแบ่งตามแผนที่ 1
3. ศาลมีความชัดเจนว่า ศาลดูเฉพาะบริเวณรอบปราสาทฯ เท่านั้น ซึ่งเป็นบริเวณที่เล็กมาก และในปี 1962 กัมพูชากล่าวว่า ขอบเขตพิพาทนั้นเล็กมาก และถ้อยแถลงอื่น ๆ ก็ไม่มีอะไรขัดแย้งกันในปี 1962 และทันทีหลังจากมีคำพิพากษา ศาลได้อธิบายว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ทางตะวันออกของเทือกเขาดงรัก ในทางทั่วไปถือว่า เป็นเขตแดนของทั้งสองประเทศ ศาลเห็นว่าปราสาทอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา แต่ต้องกลับมาในบทปฏิบัติการ 2 และ 3 ที่เห็นว่า ผลของคำพิพากษาที่ 1 ตำรวจที่ปฏิบัติการในปราสาทพระวิหารหรือบริเวณใกล้เคียงไม่มีการพูดถึงการถอนกำลัง และไม่มีการกล่าวถึงว่า หากถอนกำลังต้องถอนไปที่ใด พูดเพียงปราสาทและบริเวณใกล้เคียง ไม่มีการกำหนดว่า เจ้าหน้าที่ใดของไทยต้องถอน พูดเพียงว่าเจ้าหน้าที่ที่เฝ้ารักษาการณ์หรือดูแล ศาลจึงเห็นว่าจะต้องเริ่มจากดูหลักฐานที่อยู่ต่อหน้าศาล และพยานหลักฐานเดียวคือ พยานหลักฐานที่ฝ่ายไทยได้นำเสนอ ซึ่งได้มีการเยือนไปยังปราสาทในปี 1961 แต่ในการซักค้านของฝ่ายกัมพูชา พยานเชี่ยวชาญของไทยบอกว่า มีแค่ผู้เฝ้ายาม 1 คน และตำรวจ มีการตั้งแคมป์ และไม่ไกลมีบ้านพักอยู่ และทนายฝ่ายไทย กล่าวว่า สถานีตำรวจอยู่ทางใต้ของแผนที่ภาคผนวก 1
ต่อมาปี 1962 กัมพูชาได้เสนอข้อต่อสู้ว่า จะต้องใช้เส้นสันปันน้ำในการปักปันเขตแดน แต่ศาลเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องใช้สันปันน้ำ ซึ่งฝ่ายไทยเห็นว่า สำคัญ เพราะการแบ่งเส้นต่าง ๆ มีความใกล้เคียงกันสันปันน้ำ การที่สถานีตำรวจตั้งใกล้สันปันน้ำ เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อศาลสั่งให้ไทยถอนกำลัง ก็น่าจะมีความประสงค์ให้เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ตามคำเบิกความของไทย เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่า มีเจ้าหน้าที่อื่นใด จึงเห็นว่าควรยาวไปถึงสถานที่ตั้งมั่นของสถานีตำรวจ เส้นแบ่งเขตแดนตามมติ ครม. จึงไม่ถือว่า เป็นเส้นแบ่งเขตแดน ศาลจึงเห็นว่า ชัดเจนมากตามภูมิศาสตร์ ที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้มีหน้าผาที่ชัน และตะวันตกเฉียงเหนือก็เป็นที่ที่อยู่ในเทือกเขาดงรัก หุบเขาทั้งสองนี้เป็นช่องทางที่กัมพูชาสามารถเข้าถึงปราสาท ดังนั้น การทำความเข้าใจใกล้เคียงพระวิหาร ศาลจึงเห็นว่า เขตแดนกัมพูชาทางเหนือไม่เกินเส้นแบ่งเขตแดนตามภาคผนวก 1 และไม่ได้ระบุระยะที่ชัดเจน
ศาลสรุปว่าชะโงกหน้าผาที่อยู่เหนือแผนที่ภาคผนวก 1 อยู่ภายใต้อธิปไตยกัมพูชา และศาลถือเป็นหัวใจของข้อขัดแย้งครั้งนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายต้องดำเนินการตามพันธกรณีด้วยความเคารพ ทั้งนี้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือพื้นที่ปราสาทพระวิหาร ดังนั้น ไทยยังมีพันธกรณีถอนกำลังทหาร ตำรวจ ออกจากบริเวณเหล่านั้นกัมพูชาและไทย ต้องคุยกันเองโดยมียูเนสโก ควบคุมในฐานะมกดกโลก ภายใต้บริเวณนี้ ขอสรุปว่ากัมพูชามีอำนาจเหนือชะโงกหน้าผา ไทยต้องถอนกำลังทหารในพื้นที่เหล่านั้น
ด้วยเหตุเหล่านี้ ศาลมีมติเอกฉันท์ การขอตีความคดีของกัมพูชา ศาลมีอำนาจรับฟ้อง คำพิพากษา 15 มิ.ย. 1962 พิพากษา กัมพูชามีอธิปไตยในดินแดนทั้งหมดเหนือปราสาทพระวิหาร ไทยต้องถอน กำลัง ทหาร ตำรวจ และกำลังอื่น ทั้งหมดออกจากบริเวณดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศาลโลกได้ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาเป็นเวลาประมาณ 53 นาที
ต่อมา นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าทีมทนายความต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร แถลงภายหลัง ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีคำพิพากษา คดีที่กัมพูชาได้ร้องขอให้ตีความคำพิพากษาเดิม กรณีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 โดยระบุว่า 1. ศาลพิพากษาว่ามีอำนาจพิจารณาตีความคำร้องของกัมพูชา
นายวีรชัย กล่าวอีกว่า 2. ศาลไม่ได้ตัดสินเรื่องเขตแดน โดยกัมพูชาไม่ได้รับ 4.6 ตารางกิโลเมตร หรือ 4.7 ตารางกิโลเมตร หรือ ภูมะเขือ เว้นแต่บริเวณที่แคบมาก ๆ ซึ่งสองฝ่ายต้องหารือกัน 3.ที่สำคัญมากคือศาลไม่ได้ระบุว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสนตารางกิโลเมตรเป็นส่วนหนึ่งของคำตัดสินเมื่อปี 2505 ทั้งนี้ศาลโลกได้แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันดูแลปราสาทพระวิหารในฐานะมรดกโลก
ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การต่างประเทศ กล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า ผลการตัดสินของศาลโลกออกมาเป็นที่น่าพอใจของทั้งสองฝ่าย โดยไทยกับกัมพูชาจะหารือในคณะกรรมาธิการร่วมระดับทวิภาคีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เวลาประมาณ 18.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) หรือราว 12.00 น. (ตามเวลาในกรุงเฮก) ศาลได้เปิดเผยรายละเอียดคำพิพากษาอย่างละเอียด เป็นภาษาอังกฤษ มีความยาว 39 หน้าด้วยกัน โดยสามารถอ่านคำพิพากษาฉบับเต็มได้ที่ http://www.icj-cij.org/docket/files/151/17704.pdf
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเฮก ว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ไอซีเจ ของสหประชาชาติ ณ กรุงเฮก มีคำวินิจฉัยชี้ขาดคดีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาเมื่อวันจันทร์ ว่า พื้นที่รอบ ๆ โบราณสถานปราสาทพระวิหารบนเขตแดนไทย เป็นของกัมพูชา
โดยผู้พิพากษาหัวหน้าคณะ ปีเตอร์ ทอมกา กล่าวว่า องค์คณะผู้พิพากษามีมติเป็นเอกฉันท์ โดยอาศัยการตีความตามคำพิพากษาปี พ.ศ. 2505 ของ ไอซีเจ ซึ่งระบุว่า กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ทั้งหมดของยอดแหลมเขาพระวิหาร ดังนั้นฝ่ายไทยจึงมีพันธกรณีที่จะต้องถอนกำลังทหาร ตำรวจ หรือหน่วยรักษาความปลอดภัยทั้งหมด ออกพ้นจากพื้นที่ดังกล่าว
ทั้งนี้เมื่อปีที่แล้ว ไอซีเจ หรือ ศาลโลก มีคำตัดสินว่าทั้งไทยและกัมพูชา ควรถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาท ซึ่งเป็นยอดแหลมอยู่เหนือหน้าผาในกัมพูชา แต่สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าจากฝั่งไทย ในที่สุดไทยและกัมพูชาสั่งถอนทหารหลายร้อยนายออกจากพื้นที่พิพาทในเดือน ก.ค. 2555 โดยนำเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยรักษาความปลอดภัยเข้าไปประจำการแทน
รายงานระบุอีกว่า นายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่ในศาลด้วยระหว่างการอ่านคำพิพากษา ได้กล่าวต่อบรรดาผู้สื่อข่าวภายหลังว่า เป็นคำตัดสินที่ดีมาก ทั้งนี้ คำวินิจฉัยของ ไอซีเจ ในครั้งนี้มีผลผูกพันตามกฎหมาย และไม่สามารถยื่นอุทธรณ์คัดค้านได้
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สมเด็จ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ใจความว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินว่า กัมพูชาควรได้สิทธิอธิปไตยเหนือพื้นที่พิพาทโดยรอบปราสาทพระวิหาร และมีคำสั่งให้ไทยถอนกำลังออกจากพื้นที่บริเวณนั้น พร้อมระบุคำตัดสินของผู้พิพากษา ปีเตอร์ ทอมกา ประธานศาลโลกว่า “กัมพูชามีอธิปไตยเหนือตัวปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ ดังนั้น ไทยจึงต้องถอนกำลังทหาร ตำรวจ การ์ด และผู้ดูแลทั้งหมดออกจากพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทพระวิหาร”
ที่ทำเนียบรัฐบาล ตึกสันติไมตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงการณ์ผ่านรายการโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ภายหลังที่ศาลโลกอ่านคำพิพากษาตีความกรณีพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย กับ กัมพูชา จากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ว่า รัฐบาลเห็นว่าเป็นคำพิพากษาที่ให้ความสำคัญกับการที่ 2 ประเทศจะต้องเจรจากันและมีหลายส่วนที่เป็นคุณกับประเทศไทย
โดยมีประเด็นหลัก ๆ ดังนี้ 1. ศาลรับฟังข้อต่อสู้ของไทย และได้ตัดสินยืนยันที่จะตัดสินภายในขอบเขตของคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 2.ศาลรับฟังข้อต่อสู้ของไทยโดยยืนยันว่าคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 นั้นไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับประเด็นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะเป็นประเด็นที่อยู่นอกเหนือจากคำพิพากษาเดิม ซึ่งหมายความว่าศาลไม่รับพิจารณาข้อเรียกร้องของกัมพูชาเหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรและที่สำคัญศาลไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนผูกพันกับไทย โดยผลของคำพิพากษาเมื่อปี 2505
3.ศาลรับตีความในประเด็นเฉพาะที่เกี่ยวกับพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทตามคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 โดยศาลอธิบายว่าเป็นพื้นที่ขนาดเล็กมาก ซึ่งกำหนดขึ้นตามสภาพภูมิศาสตร์ที่ประกอบขึ้นเป็นยอดเขาพระวิหาร โดยไม่ได้กำหนดเส้นเขตแดน และที่สำคัญไม่ร่วมพื้นที่ภูมะเขือ ซึ่งในส่วนของพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทนี้ทั้ง 2 ประเทศจำเป็นต้องหารือกันในรายละเอียดต่อไปโดยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ 4.ศาลได้แนะนำให้ความสำคัญกับการที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะร่วมมือกันในการอนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะที่เป็นมรดกโลก
ดังนั้นรัฐบาลได้สั่งให้ทีมที่ปรึกษากฎหมายศึกษารายละเอียดและสาระสำคัญของคำพิพากษาเพื่อนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปประกอบพิจารณา ดำเนินการของรัฐบาลต่อไป ต่อจากนั้นไทยและกัมพูชาจะต้อองเจรจาหารือภายใต้กลไกที่มีอยู่ระหว่างทั้ง 2 ประเทศเพื่อให้ได้ข้อยุติ ให้เป็นที่ยอมรับของทั้ง 2 ฝ่าย และจะคำนึงถึงขั้นตอนและกระบวนการของกฎหมายและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
“ยืนยันว่า การดำเนินการของรัฐบาลจะรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง รวมทั้งเกียรติภูมิของชาติและความเป็นประชาคมอาเซียน พร้อมกันนี้รัฐบาลได้สั่งการและกำชับให้ฝ่ายทหารและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยังคงรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณชายแดน รักษาอธิปไตยและดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินขิงประชาชนในพื้นที่ เพื่อสันติภาพ สันติสุข และความสงบเรียบร้อย ดังนั้นทั้ง 2 ประเทศจึงจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ” นายกรัฐมนตรี กล่าว และว่า ในวันที่ 12 พ.ย.จะนำเอาผลการตัดสินของศาลโลกเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.).
ข้อมูลจำเพาะ : กรณีพิพาทเขตแดนกลุ่มอาเซียน
ข้อพิพาททางทะเลที่เกิดขึ้นกับชาติสมาชิกอาเซียน (สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) อยู่ที่เขตทะเลจีนใต้ ซึ่งมีหลายชาติไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย และ บรูไน รวมไปถึงไต้หวันและชาติมหาอำนาจอย่างจีน ต่างอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนบางส่วนในหมู่เกาะและเกาะแก่งต่างๆ เช่น หมู่เกาะสแปรตลีย์ในเขตทะเลจีนใต้ ซึ่งมีรายงานว่า มีแหล่งทรัพยากรที่สำคัญอย่างน้ำมัน และ แก๊สธรรมชาติ รวมไปถึงการเป็นเส้นทางสัญจรทางทะเลที่สำคัญสำหรับเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ และพื้นที่ทำการประมง
ชาติสมาชิกอาเซียนได้นำปัญหานี้เข้าสู่ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนมาแล้วทุกครั้ง เพื่อให้บรรลุซึ่งพันธกรณีว่าด้วยระเบียบปฏิบัติทางทะเล ไม่ให้เกิดข้อพิพาทรุนแรงถึงขั้นการทำสงคราม โดยเฉพาะกับชาติมหาอำนาจอย่างจีน ซึ่งกำลังขยายแสนยานุภาพทางทะเล เช่น มีเรือบรรทุกเครื่องบินไว้ประจำการในกองทัพ เป็นการสร้างดุลแห่งอำนาจ อย่างไรก็ตาม ชาติสมาชิกอาเซียนก็ไม่เคยนำข้อพิพาททางทะเลนี้ขึ้นสู่การพิจารณาและตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556


รักแม่ค่ะ

คำว่า แม่  อาจจะเป็นคำสั้นๆแค่สองสามคำ แต่ความหมายของคำว่าแม่  ยิ่งใหญ่นัก  แม่คือทุกสิ่งทุกอย่างของข้าพเจ้า   แม่คือผู้ให้กำเนิดข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าเกิดมามีชีวิตเพราะน้ำนมของแม่   ข้าพเจ้าเกิดมาได้เพราะคำว่า แม่  และแม่ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักทำความดี ไม่ให้ทำความชั่ว  ให้รู้จักแยกแยะว่าสิ่งไหนควรทำสิ่งไหนไม่ควรทำ   คอยตักเตือนและให้อภัยในยามที่ข้าพเจ้าทำผิด  ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของแม่และยังมีอีกสิ่งหนึ่ง คือไม่มีอะไรมาเปรียบค่าน้ำนมและความรักของแม่  ความรักของแม่ยิ่งใหญ่มหาศาล  ไม่มีอะไรทดแทนได้ ถ้าไม่มีแม่ข้าพเจ้าคงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้
                    แม่ต้องอุ้มท้องข้าพเจ้ามา ๙ เดือน  ไปไหนมาไหนก็ลำบาก  ต้องระวังไม่ให้ลูกระทบกระเทือนทั้งเมื่อยและเหนื่อย  แต่ก็คุ้มที่ลูกออกมาปลอดภัย  ความรักของแม่เปรียบเสมือนน้ำทะเล  ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล  แม่ดูแลลูกตั้งแต่หัวจรดเท้า  เพื่อไม่ให้เกิดอันตราย  แม่ดูแลลูกขนาดยุงสักตัวก็ไม่ให้กัด  ป้อนข้าวให้นม  ดูแลไม่เคยห่างตลอดมา  ดูแลลูกตั้งแต่เล็กจนโตไม่คิดที่จะท้อหรือถ้อย
                    ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน  อายุของข้าพเจ้าย่างจะเข้า ๑๕  ปีแล้ว  และยังมีพี่สาวอีก๔ คน  กับพี่ชายอีก ๑ คน   แต่แม่ของข้าพเจ้าก็เลี้ยงดูข้าพเจ้ากับพี่ๆได้   โดยไม่คิดที่จะบนสักคำว่าเหนื่อย จะมีบางครั้งที่ข้าพเจ้าทำให้แม่เสียใจ  แต่แม่ก็โกรธไม่นานก็หายแล้ว   ข้าพเจ้าภูมิใจที่ได้เดมาเป็นลูกของแม่และมีครอบครัวที่อบอุ่นอย่างนี้ได้  ก็เพราะมีแม่คอยสั่งสอน
                     สักวันหนึ่งข้าพเจ้าจะตอบแทนบุญคุณท่าน   โดยการตั้งใจเรียนหนังสือและได้ทำงานดีๆ   เพื่อที่จะเลี้ยงดูแม่ในยามแก่เฒ่า  ให้เท่ากับที่แม่ได้เลี้ยงดูข้าพเจ้า   ไม่มีพระคุณใดในโลกนี้ที่จะเท่าพระคุณของแม่  น้ำนมหนึ่งหยดที่เข้าสู่ร่างกายข้าพเจ้า  มันมีคุณค่ามหาศาล ข้าพเจ้าจะต้องจำอยู่ตลอดเวลา  ข้าพเจ้าจะตอบแทนบุญคุณท่าน  ถึงแม้ในวันนี้ข้าพเจ้ายังตอบแทนไม่ได้  แต่สักวันหนึ่งข้าพเจ้าต้องทำให้ได้
                      ตอนนี้หน้าที่ของข้าพเจ้าคือเรียนหนังสือ  และตั้งใจเรียนให้สูง  เพื่อให้แม่แม่สมหวัง   ข้าพเจ้ายังไม่รู้เลยว่า ถ้าข้าพเจ้าขาดแม่ไปสักคน  ข้าพเจ้าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่นี้ได้อย่างไร  ข้าพเจ้าอยากจะขอดุอาร์จากอัลลอฮ(ซ.บ)   ให้แม่อยู่กับข้าพเจ้านานๆ  ถึงแม้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  เพราะเรื่องเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย เป็นสิ่งที่เราเองกำหนดไม่ได้ก็ตาม   แม่คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า   ไม่มีวันไหนที่ข้าพเจ้าจะลืมแม่   ข้าพเจ้ารักแม่ทุกวัน   และจะรักอย่างนี้ตลอดไป (อินชาอัลลอฮ)
                       สตรีใดให้กำเนิดเกิดมนุษย์                โลกสมมุตินามนิยมไว้คมสันต์
เรียกว่า แม่ มาตั้งแต่แรกที่แบกครรภ์                        คอยผูกพันรักลูกเหนืออื่นใด
จากวันนั้นลุกเติบใหญ่ในวันนี้                                    แม่คอยชี้นำทางที่สดใส
แม่รักลูกดั่งชีวิตและจิตใจ                                         หวังเพื่อให้ลูกมีสุขทุกคืนวัน
พระคุณใดไหนหล้าจะมาเทียบ                                  ไม่อาจเปรียบพระคุณของแม่ฉัน   
ระลึกถึงพระคุณแม่อยู่ทุกวัน                                      ชั่วชีวันแทนทดไม่หมดเอย...  
                        คำกลอนบทนี้  ข้าพเจ้าได้มาจกหนังสือเล่มหนึ่ง  ซึ่งข้าพเจ้าได้อ่านมาเป็นคำกลอนที่ข้าพเจ้าชอบมาก   ข้าพเจ้าจึงได้เขียนลงในเรียงความบทนี้ของข้าพเจ้า   ข้าพเจ้าหวังว่าถ้าใครได้อ่านแล้วคงจะชอบเหมือนข้าพเจ้าเช่นกัน   
 
ดอกไม้ประจำวันแม่  คือ  ดอกมะลิ 

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การเลือกตั้งคณะรัฐมนตรีมาเลเซีย




    'นาจิบ'ชนะขาดเลือกตั้งมาเลย์ตั้งรัฐบาลได้

      การเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการแสดงพลังระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคร่วมรัฐบาล บาริซาน นาเซียนัล หรือกลุ่มแนวร่วมแห่งชาติที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้สูงอายุในมาเลเซีย กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนกลุ่มปากาตัน รัคยัต หรือภาคีประชาชน และวัดกันว่าฝ่ายใดจะได้ที่นั่ง 112 ที่นั่ง ซึ่งเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนเก้าอี้ ส.ส. 222 ที่นั่งก่อนกัน และพรรคที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้นั้น ต้องได้ที่นั่งรวมทั้งหมด 2 ใน 3 หรือ 148 ที่นั่ง   ต่อมาเวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันอาทิตย์ (5 พ.ค.) ตรงกับเวลา 16.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ปิดหีบลงคะแนนเสียงเลือกตั้งใน 8,789 จุด และเริ่มการนับคะแนนโดยทันทีเช่นกัน โดยจะทราบผลการเลือกตั้งได้ภายใน 2 ชั่วโมง ขณะที่รัฐบาลชุดต่อไปจะได้รับการประกาศภายในเวลาเที่ยงคืน หรือ อาจจะเป็น 01.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือประมาณ 23.00 น. ถึง 24.00 น. ตามเวลาในไทย การนับคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. และสมาชิกสภาแห่งรัฐของมาเลเซียยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายงานผลอย่างไม่เป็นทางการจากมาเลเซีย เมื่อเวลาประมาณ 21.45 น. ตามเวลาในประเทศไทยว่า กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาชน หรือพรรคฝ่ายค้านของมาเลเซียได้เก้าอี้ ส.ส.เพิ่มขึ้นเป็น 41 เก้าอี้ แต่ยังมีจำนวน ส.ส.ตามหลังแนวร่วมแห่งชาติ หรือพรรคร่วมรัฐบาลที่นำอยู่ด้วยคะแนน 45 เก้าอี้   การนับคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. และสมาชิกสภาแห่งรัฐของมาเลเซียยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายงานผลอย่างไม่เป็นทางการจากมาเลเซีย เมื่อเวลาประมาณ 21.45 น. ตามเวลาในประเทศไทยว่า กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาชน หรือพรรคฝ่ายค้านของมาเลเซียได้เก้าอี้ ส.ส.เพิ่มขึ้นเป็น 41 เก้าอี้ แต่ยังมีจำนวน ส.ส.ตามหลังแนวร่วมแห่งชาติ หรือพรรคร่วมรัฐบาลที่นำอยู่ด้วยคะแนน 45 เก้าอี้
       การนับคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. และสมาชิกสภาแห่งรัฐของมาเลเซียยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายงานผลอย่างไม่เป็นทางการจากมาเลเซีย เมื่อเวลาประมาณ 21.45 น. ตามเวลาในประเทศไทยว่า กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาชน หรือพรรคฝ่ายค้านของมาเลเซียได้เก้าอี้ ส.ส.เพิ่มขึ้นเป็น 41 เก้าอี้ แต่ยังมีจำนวน ส.ส.ตามหลังแนวร่วมแห่งชาติ หรือพรรคร่วมรัฐบาลที่นำอยู่ด้วยคะแนน 45 เก้าอี้
           จนกระทั้งล่าสุดเวลา  23.53 น. ประธานคณะกรรมการเลือกตั้งมาเลเซียได้ประกาศว่าจนถึงขณะนั้น มีการนับคะแนนแล้ว ปรากฎว่า ส.ส.จากพรรคแนวร่วมแห่งชาติได้ที่นั่งทั้งหมด 112 ที่นั่ง เกินครึ่งหนึ่งที่ต้องการนั้นคือ 111 ที่นั่ง จากที่นั่งทั้งหมด 222 ที่นั่ง นั้นคือสามารถจัดตั้งรัฐบาลแล้ว  ขณะที่พรรคฝ่ายค้านหรือกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาชน ได้ที่นั่งรวมทั้งสิ้น 56  ที่นั่ง แต่อยู่ในระหว่างการนับคะแนนอีก 52 ที่นั่ง